วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555



VDO การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว






credit by   http://www.youtube.com/watch?v=kDd89MWL9xU


คณิตศาสตร์กับพระพุทธศาสนา


คณิตศาสตร์เกิดขึ้นมาในโลกมานานแล้ว พอๆ กับการเกิดขึ้นของมนุษย์แต่การนับหรือคำณวณยังไม่สลับซับซ้อนเหมือนในปัจจุบัน แต่ย่างไรก็ตามคณิตศาสตร์ได้เจริญมาตั้งแต่สมัยโบราณดังจะเห็นได้จากการก่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์ของโลกทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ เช่น ปีรามิดที่ประเทศอียิปต์ โคลอสเซี่ยมที่ประเทศอิตาลี หรือใกล้บ้านเราก็คือปราสาทนครวัดนครธม ในสมัยพุทธกาลคณิตศาสตร์ก็ได้เจริญรุ่งเรืองเหมือนกัน ดังจะเห็นได้จากมาตราวัด มาตรานับ ดังต่อไปนี้

การนับ

ในหลักสูตรบาลีไวยากรณ์ ได้แบ่งการนับที่เรียกว่า สังขยา ออกเป็น ๒ ประเภท คือ

๑. นับเป็นลำดับจากน้อยไปหามาก เรียกว่า ปกติสังขยา

๒. นับเป็นจำนวนเต็มหรือนับเป็นชั้นๆ เช่น ที่หนึ่ง ที่สอง เรียกว่า ปูรณสังขยา

ปกติสังขยานั้น มีคำนามสำหรับการนับเริ่มนับตั้งแต่ ๑ จนถึง โกฏิ ได้แก่ ๑๐ ล้าน

ส่วนปูรณสังขยาก็เช่นเดียวกัน แต่ต้องเติมปัจจัย(suffix)เข้ากับจำนวนวนนับก่อน เพื่อเป็นเครื่องให้ทราบถึงเพศ(Gender) ของจำนวนที่จะนับ

จำนวนนับที่มากกว่า ๑๐ ล้าน 

ในโกกาลิกสูตร [1] พระผู้มีพระภาคตรัสถึงจำนวนนับว่าพระโกกาลิกะด่าพระอัครสาวกทั้งสองต้องตกนรกเป็นระยะเวลายาวนานว่า

ว่า ดูกรภิกษุ เปรียบเหมือนหนึ่งเกวียนเมล็ดงาของชนชาวโกศลมีอัตรา ๒๐ ขารี เมื่อล่วงไปแสนปีบุรุษนำเอาเมล็ดงาเมล็ดหนึ่งออกจากเกวียนนั้น ดูกรภิกษุ เมล็ดงาหนึ่งเกวียนของชาวโกศลซึ่งมีอัตรา ๒๐ ขารีนั้น พึงถึงความสิ้นไปหมดไปโดยทำนองนี้เร็วกว่านั่นยังไม่ถึงหนึ่งอัพพุทะในนรกเลย ดูกรภิกษุ ๒๐ อัพพุทะในนรกจึงเป็น๑ นิรัพพุทะ ๒๐ นิรัพพุทะเป็น ๑ อพัพพะ ๒๐ อพัพพะเป็น ๑ อหหะ๒๐ อหหะเป็น ๑ อฏฏะ๒๐ อฏฏะ เป็น ๑ กุมุทะ ๒๐ กุมุทะเป็น ๑ โสคันธิกะ๒๐ โสคันธิกะเป็น ๑ อุปปละ ๒๐ อุปปละเป็น ๑ ปุณฑรีกะ ๒๐ ปุณฑรีกะเป็น ๑ ปทุมะ

(ในอรรถถากล่าวไว้ว่า มีคำนับตั้งแต่โกฏิ ฯ และตั้งแต่อัพพุทะขึ้นไปคูณด้วย ๒๐ จะได้เป็นจำนวนสูงขึ้นไป) ดูอรรถกถาข้างล่างประกอบ

ตารางการเปรียบเทียบ

๔ แล่ง ชาวมคธ เป็น ๑ แล่งแคว้นโกศล 

๔ แล่ง โกศล เป็น ๑ อาฬหกะ 

๔ อาฬหกะ เป็น ๑ โทณะ (ทะนาน) 

๔ โทณะ(ทะนาน) เป็น ๑ มานิกะ 

๔ มานิกะ เป็น ๑ ขาริ 

๑ ขารี เท่ากับ ๒๔๖ ทะนาน 

๑ ขาริ เป็น ๒๐ ขาริกะ 


จำนวนที่มากกว่าสิบล้าน

สิบ เป็น ทส 10 

ร้อย (สิบคูณกันสองครั้ง) เป็น สต(สะตะ) 10 ยกกำลัง 2 (100) 

สิบร้อย(ร้อยคูณกันสองครั้ง) เป็น สหัสสะ 10 ยกกำลัง 3 (1,000) 

สิบพัน(พันคูณกันสองครั้ง) เป็น ทสสหัสสะ 10 ยกกำลัง 4 (10,000) 

สิบหมื่น (หมื่นคูณกันสองครั้ง) เป็น สตสหัสสะ 10 ยกกำลัง 5 (100,000) 

สิบแสน (แสนคูณกันสองครั้ง) เป็น ทสสตสหัสสะ 10 ยกกำลัง 6 (1,000,000) 

ร้อยแสน(แสนคูณร้อย) เป็น ๑ โกฏิ 10,000,000 (10 ยกกำลัง 7) 

ร้อยแสนโกฏิ(10 ล้านคูณ10ล้าน) เป็น ปโกฏิ 10ยกกำลัง 14)หรือ (หนึ่งร้อยล้านล้าน) 

ร้อยแสนปโกฏิ(หนึ่งร้อยล้านล้านคูณ 10 ล้าน) เป็น โกฏิปโกฏิ (10 ยกกำลัง 21)หนึ่งพันล้านล้าน 

ร้อยแสนโกฺฏิปโกฏิ(หนึ่งพันล้านล้านคูณสิบล้าน) เป็น นหุต (10ยกกำลัง 28 หนึ่งหมื่นล้านล้าน) 

ร้อยแสนนหุต(หนึ่งหมื่นล้านล้านคูณสิบล้าน) เป็น นินนนหุต (10 ยกกำลัง35)หนึ่งแสนล้านล้าน 

ร้อยแสนนินนนหุต(หนึ่งแสนล้านล้านคูณสิบล้าน) เป็น อัพพุทะ หนึ่งล้านล้านล้าน (10 ยกกำลัง ๔๒) 

ยี่สิบคูณอัพพุทะ(หนึ่งล้านล้านล้านคูณยี่สิบ) เป็น นิรัพพุทะ ยี่สิบล้านล้านล้าน

ยี่สิบคูณนิรัพพุทะ(ยี่สิบล้านล้านล้านคูณยี่สิบ) เป็น อพัพพะ สีร้อยล้านล้านล้าน 

ยี่สิบคูณอพัพพะ(สีร้อยล้านล้านล้านคูณยี่สิบ) เป็น อหหะ แปดพันล้านล้านล้าน

ยี่สิบคูณอหหะ(แปดพันล้านล้านล้านคูณยี่สิบ เป็น อฏฏะ หนึ่งแสนหกหมื่นล้านล้านล้าน 

ยี่สิบคูณอฏฏะ(หนึ่งแสนหกหมื่นล้านล้านล้านคูณยี่สิบ) เป็น กุมุทะ สามล้านสองแสนล้านล้านล้าน 

ยี่สิบคูณกุมุทะ(สามล้านสองแสนล้านล้านล้านคูณยี่สิบ) เป็น โสคันธิกะ หกสิบสี่ล้านล้านล้านล้าน

ยี่สิบคูณโสคันธิกะ(หกสิบสี่ล้านล้านล้านล้านคูณยี่สิบ) เป็น อุปปละ หนึ่งพันสองร้อยแปดสิบล้านล้านล้านล้านล้าน 

ยี่สิบคูณอุปปละ(หนึ่งพันสองร้อยแปดสิบล้านล้านล้านล้านล้านคูณยี่สิบ) เป็น ปุณฑรีกะ สองหมื่นห้าพันหกร้อยล้านล้านล้านล้านล้าน 

ยี่สิบคูณปุณฑรีกะ(สองหมื่นห้าพันหกร้อยล้านล้านล้านล้านล้านคูณยี่สิบ) เป็น ปทุมะ ห้าแสนหนึ่งหมื่นสองพันล้านล้านล้านล้านล้าน(ปทุมมีศูนย์ต่อท้ายจำนวน๑๒๔ ตัว) 

พระโกกาลิกตกนรกหนึ่งแสนนิรัพพุทกัป(สองล้านล้านล้านล้าน) อีก ๓๖ นิรัพพุทะ(เจ็ดร้อยยี่สิบล้านล้านล้าน) และ ๕ อัพพุทะ(ห้าล้านล้านล้าน) ปี

แต่ในหนังสือภาษาไทย วัฒนธรรมไทย และภาษาไทย ๕ นาที ที่พิมพ์ในงานฉลองตำแหน่งศาสตราจารย์พิเศษ ของอาจารย์จำนงค์ ทองประเสริฐ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๕) หน้าที่ 185 ได้กล่าวถึงการนับดังนี้ 

ห้าสองหนเป็นสิบสับ (5+5) สิบสองหนนับ ว่ายี่สิบอย่าสงสัย 

สามสิบหนเป็นต้นไป ท่านเรียกชื่อใช้ สามสิบสี่สิบตามกัน 

สิบสิบหนเป็นร้อยพลัน สิบร้อยเป็นพัน สิบพันเป็นหมื่นหนึ่งนา 

สิบหมื่นเป็นแสนหนึ่งหนา สิบแสนท่านว่า เป็นล้านหนึ่งพึงจดจำ 

สิบล้านนั้นเป็นโกฏิไซร้ ร้อยแสนโกฏิไป เป็นปะโกฏิหนึ่งตามมี 

ร้อยแสนปะโกฏินี้ เป็นโกฏิปะโกฏิ พึงกำหนดอย่าคลาดคลา 

ร้อยแสนโกฏิปะโกฏิหนา ท่านเรียกชื่อมา ว่าเป็นนะหุตหนึ่งไป 

ร้อยแสนนะหุตนั้นไซร้ ท่านเรียกชื่อไว้ ว่าเป็นนินนะหุตนา 

ร้อยแสนนินนะหุตหนา ได้นามตามมา ว่าอะโขภินีหนึ่งมี 

ร้อยแสนอโขภินิ ได้นามตามมี วาพินธุอันหนึ่งนา 

รอยแสนพินธุหนึ่งหนา ท่านเรียกกันมา ว่าอัพพุทจึงจำไว้ 

ร้อยแสนอัพพุทไซร้ ได้นามตามใช้ ว่านิรัพพุทหนึ่งนา 

ร้อยแสนนิรัพพุทหนา ท่านเรียกชื่อมา ว่าอะหะหะตามมี 

ร้อยแสนอะหะหะนี้ มีนามตามที ว่าอพะพะหนึ่งหนา 

ร้อยแสนอะพะพะนั้นหนา ท่านเรียกกันว่า อฏะฏะตามมี 

ร้อยแสนอะฏะฏะนี้ มีนามตามที ว่าโสคันทิกะหนึ่งนา 

ร้อยแสนโสคันทิกะหนา ท่านเรียกชื่อว่า เป็นกะมุทอันหนึ่งไป 

ร้อยแสนกะมุทนั้นไซร้ มีนามตามใช้ ว่าบุณฑะริกหนึ่งแน่ 

ร้อยแสนบุณฑะริกแท้ ท่านเรียกกันแล ว่าเป็นปทุมหนึ่งไป 

ร้อยแสนปะทุมนั้นไซร้ ท่านตั้งชื่อไว้ ว่ากะถานะอันหนึ่งนา 

ร้อยแสนกถานะนั้นหนา ท่านเรียกกันมา ว่ามหากะถานะหนึ่งไป 

ร้อยแสนมหากถานะไซร้ เป็นอสงไขย คือเหลือจะนับพรรณนา 


ฉะนั้น อสงไขย ถ้าเขียนเป็นตัวเลขจะมีศูนย์ต่อท้ายถึง 140 ตัว

ในคัมภีร์กัจจายนะ ได้กล่าวถึงจำนวนนับก็ได้กล่าวถึงจำนวนนับไว้ เหมือนกับตารางข้างบนแต่ต่างกัน นิดหน่อย ดังนี้

10 ล้าน เรียกว่า โกฏิ (10 ยกกำลัง 7) 

10 ล้านโกฏิ เรียกว่า ปะโกฏิ (10 ยกกำลัง 14) 

10 ล้านปะโกฏิ เรียกว่า โกฏิปโกฏิ (10 ยกกำลัง 21) 

10 ล้านโกฏิปโกฏิ เรียกว่า นะหุต (10 ยกกำลัง 28) 

10 ล้านนหุต เรียกว่า นินนะหุต (10 ยกกำลัง 35) 

10 ล้านนินนะหุต เรียกว่า อะโขภินี (10 ยกกำลัง 42) 

10 ล้านอะโขภินี เรียกว่า พินทุ(10 ยกกำลัง 49) 

10 ล้านพินทุ เรียกว่า อัพพุท (10 ยกกำลัง 56) 

10 ล้านอัพพุท เรียกว่า นิรัพพุท (10 ยกกำลัง 63 

10 ล้านนิรัพพุท เรียกว่า อะหะหะ (10 ยกกำลัง 70) 

10 ล้านอะหะหะ เรียกว่า อพะพะ (10 ยกกำลัง 77) 

10 ล้านอะพะพะ เรียกว่า อฏะฏะ (10 ยกกำลัง 84) 

10 ล้านอฏะฏะ เรียกว่า โสคันทิกะ (10 ยกกำลัง 91) 

10 ล้านโสคันทิกะ เรียกว่า อุปปะละ (10 ยกกำลัง 98) 

10 ล้านอุปปะละ เรียกว่า กะมุท (10 ยกกำลัง 105) 

10 ล้านกะมุท เรียกว่า บุณฑะริก (10 ยกกำลัง 112) 

10 ล้านบุณฑริก เรียกว่า ปะทุมะ (10 ยกกำลัง 119) 

10 ล้านปะทุมะ เรียกว่า กะถานะ (10 ยกกำลัง 126) 

10 ล้านกะถานะ เรียกว่า มหากะถานะ (10 ยกกำลัง 133) 

10 ล้านมหากถานะ เรียกว่า อสงไขย (10 ยกกำลัง 140) 


ในหนังสือ The light of Asia (แสงสว่างแห่งเอเชีย) ซึ่งท่านเอ็ดวินส์ อาร์โนลด์ (Sir Edwin Arnold) ชาวอังกฤษเขียนเกี่ยวกับพุทธประวัติ ได้กล่าวถึงตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนหนังสือกับครูวิศวามิตร เกี่ยวกับจำนวนนับดังนี้

เลค หรือลักขะ (แสน) เท่ากับ 10 ยกกำลัง5 

โกฏิ เท่ากับ 10 ยกกำลัง 7 

นหุต เท่ากับ 10 ยกกำลัง 9 

นินนะหุต เท่ากับ 10 ยกกำลัง 11 

ขัมภะ เท่ากับ 10 ยกกำลัง 13 

วิขัมภะ เท่ากับ 10 ยกกำลัง 15 

อะพาพะ เท่ากับ 10 ยกกำลัง 17 

อะฏะฏะ เท่ากับ 10 ยกกำลัง 19 

กุมุทะ เท่ากับ 10 ยกกำลัง 21 

คันทิกะ เท่ากับ 10 ยกกำลัง 23 

อุปะละ เท่ากับ 10 ยกกำลัง 25 

บุณฑะริกะ เท่ากับ 10 ยกกำลัง 27 

ปะทุมะ เท่ากับ 10 ยกกำลัง 29 

และมีจำนวนนับต่อไปอีก 

กถา ใช้สำหรับนับตามบนท้องฟ้า 

โกฏิกะถา นับเม็ดน้ำในมหาสมุทร 

อิงคะ นับการเคลื่อนขงจักรวาล 

สารวัณนิกเขปะ นับทรายในแม่น้ำคงคา 

อันตขาปะ นับทรายแม่น้ำคงคาสิบสาย 

อสงไขย นับเม็ดฝนที่ตกรวมกันถึงหมื่นปี 

มหากัปป์ ใช้นับอนาคตและอดีตของพระพุทธเจ้า

บทความโดย พระมหาสุวิทย์ ธัมมสิริ 

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

การศึกษาการให้ความสำคัญของโลจิสติกส์ในด้านต่างๆ
ของหลักสูตรโลจิสติกส์ในประเทศไทย
วรพจน์ มีถม, วงวุธ มหามิตร, มณฑิรา โหนแหยม, กนกกาญจน์ ขวัญนวล
บทคัดย่อ
                การศึกษาครั้งนี้ ศึกษาว่าหลักสูตรโลจิสติกส์ในประเทศไทยในปัจจุบันแต่ละหลักสูตรให้ความสำคัญกับโลจิสติกส์ในด้านต่างๆ อย่างไร หากแบ่งหมวดหมู่ของงานด้านโลจิสติกส์ออกเป็น 7 หมวด คือ 1) การจัดการด้านการขนส่ง 2) การจัดการโซ่อุปทาน 3) การจัดการโลจิสติกส์ภายในโรงงาน 4) การนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ในงานด้านโลจิสติกส์ 5) การจัดการกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์ขององค์กร 6) การตัดสินใจในงานด้านโลจิสติกส์ 7) การจัดการและการพัฒนาองค์กร โดยพิจารณาจากการจัดกลุ่มกิจกรรมด้านโลจิสติกส์ต่างๆ และวิชาที่เปิดในหลักสูตรโลจิสติกส์ในประเทศไทย แล้วนำไปให้เจ้าของหลักสูตรแต่ละหลักสูตรได้เปรียบเทียบหลักสูตรตนเองกับหมวดหมู่ต่างๆ เป็นคู่ๆ ตามแนวทางของกระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์(Analytic Hierarchy Process, AHP) จากข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ แสดงให้เห็นว่าหลักสูตรโลจิสติกส์ในประเทศไทยในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในหมวดหมู่ด้านการจัดการด้านการขนส่ง ซึ่งประกอบด้วยการขนส่งสินค้า การกระจายสินค้าทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การขนถ่ายและการบริการลูกค้าต่าง ๆ เช่น การส่งมอบสินค้า หรือการบริการหลังการขายรวมถึงการ Reverse Logisticsส่วนหมวดหมู่ที่หลักสูตรในประเทศไทยให้ความสำคัญน้อยที่สุด คือ หมวดหมู่ด้านประกอบด้วยการพัฒนาบุคลากรโลจิสติกส์ ด้านการบัญชีด้านการเงิน ด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านการจัดการและการพัฒนาองค์กร ซึ่งประกอบด้วย เรื่องเกี่ยวกับภาษีอากร และด้านพฤติกรรมองค์กรที่ เกี่ยวข้องกับงานด้านโลจิสติกส์ตลอดจนด้านการตลาด และงานด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์คำสำคัญ กระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์,โลจิสติกส์,หลักสูตร
1. บทนำ
                ในปัจจุบันโลจิสติกส์เป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ธุรกิจ และอื่นๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของแต่ละประเทศ ฉะนั้นความต้องการบุคลากรในด้านนี้ของประเทศไทย ในปัจจุบันมีสูงมาก จึงมีการเปิดหลักสูตรโลจิสติกส์เพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นไป โดยหลักสูตรที่เปิดมีตั้งแต่ วิศวกรรมโลจิสติกส์เทคโนโลยีโลจิสติกส์ การจัดการด้านโลจิสติกส์ ทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก หลักสูตรอบรมระยะสั้นและระยะยาวต่างๆ แม้แต่หน่วยงานภาครัฐก็ให้การสนับสนุน เช่น แผนพัฒนาสังคมและเศษฐกิจแห่งชาติ แผนนโยบายแห่งชาติ มีกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาหลักสูตรด้านโลจิสติกส์ และถูกกำหนดเป็นวาระแห่งชาติเมื่อปลายปี 2546 แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบลอจิสติกส์ของประเทศไทย พ..2550-2554 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กำหนดวิสัยทัศน์ว่ามีระบบลอจิสติกส์ที่ได้มาตรฐานสากล (World Class Logistics) เพื่อสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการค้าของภูมิภาคอินโดจีน เพราะแนวโน้มการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น เนื่องมาจากกระแสโลกาภิวัฒน์ที่มีการเปิดเสรีทางการค้ามากขึ้น โดยกำหนดประเด็นยุทธศาสตร์ ข้อที 5 ด้านการพัฒนากำลังคนและกลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ เป้าหมาย คือ มีบุคลากรด้านลอจิสติกส์ทั้งในภาคการผลิตและในอุตสาหกรรมให้บริการด้านโลจิสติกส์ เพียงพอต่อความต้องการ โดยมีตัวชี้วัดที่ 26 คือ ผลิตบุคลากรด้านลอจิสติกส์ ทั้งระดับผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัตกิ าร ในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ SMEs ได้จำนวน 100,000 คน และในธุรกิจให้บริการด้านลอจิสติกส์ ได้จำนวน 285,000 คนภายในปี 2554 และตัวชี้วัดที่ 27 คือ มีบุคลากรผู้ฝึกสอน/อาจารย์ ที่มีศักยภาพ และมีความเชี่ยวชาญด้านลอจิสติกส์ในระดับในสากล จำนวน 1,370 คน ภายในปี 2554 การศึกษาในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นที่การทราบทิศทางและภาวะปัจจุบันของหลักสูตรโลจิสติกส์ในประเทสไทยว่ามีแนวโน้มในการให้ความสำคัญทางด้านใด นอกจากนั้นยังเป็นประโยชน์กับผู้เรียนที่สามารถเลือกเรียนในหลักสูตรที่เน้นในด้านที่ต้องการ โดยพิจารณาจากการให้ความสำคัญของเจ้าของหลักสูตร และยังเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรโลจิสติกส์ในอนาคตเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนของโลกยุคปัจจุบัน เพื่อให้หลักสูตรทันสมัยและสามารถสร้างทรัพยากรบุคคลที่ มีความสามารถในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ให้กับประเทศไทยต่อไป
2.ทฤษฎีพื้นฐาน
                กระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ (Analytic Hierarchy Process ,AHP ) พัฒนาขึ้นโดย Thomas L.
Saaty ซึ่งเป็นกระบวนการแก้ปัญหาที่มีหลายเกณ์ตัดสินใจหรือหลายเป้าประสงค์ (Multiple Criteria
Decision Making, MCDM)ที่ใช้ในการประเมินทางเลือกและเกณฑ์ตัดสินใจที่มีความขัดแย้งกัน เป็นการ
ตัดสินใจแบบที่มีทางเลือกที่มีจำนวนแน่นอนและจำกัด (Multiple Attribute Decision Making, MADM) เป็นการเรียงลำดับจากการกำหนดความสำคัญหรือความชอบของแต่ละทางเลือก (Out Ranking) (วรพจน์,2550)AHP เป็นกระบวนการตัดสินใจที่ช่วยให้ผู้ตัดสินใจสามารถวินิจฉัยเปรียบเทียบองค์ประกอบต่าง ๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมได้อย่างดีและเชื่อถือได้ เพราะว่าเป็นกระบวนการที่เลียนแบบกระบวนการคิดอย่างเป็นธรรมชาติของมนุษย์ AHP เป็นกระบวนการที่ช่วยเหลือในการแยกแยะองค์ประกอบที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมของปัญหาออกมาเป็นส่วนๆ แล้วนำองค์ประกอบต่างๆ เหล่านั้นมาแบ่งเป็นระดับชั้นจากบนลงมาสู่ล่างตามความสำคัญและผลกระทบที่มีต่อปัญหา นอกจากนี้ยังมีการใช้กระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ในการหาน้ำหนักความสำคัญของปัจจัยหรือเกณฑ์ต่างๆ (วรพจน์,2550) (Chin,2002) รวมทั้งการหาสัมประสิทธ์ที่ใช้สำหับการโปรแกรมเชิงเส้นอีกด้วย (Omkarprasad และคณะ,2006)
3.การดำเนินการศึกษา
                การศึกษาเริ่มจากการศึกษาการแบ่งหมวดหมู่ของกิจกรรมด้านโลจิสติกส์ที่เคยแบ่งไว้ ที่ผ่านมามี
หลายท่าน ดังนี้ บางท่านก็แบ่งเป็นกิจกรรมด้านต่างๆ (ฐาปนา,2549) (วิทยา,2547) (อรุณ,2545) คณะผู้
ศึกษาจึงนำเอากิจกรรมโลจิสติกส์ที่ได้แบ่งไว้แล้วมาจัดหมวดหมู่ตามหลักของ Kenny และ Raffa (Dryer and Forman,1992) ซึ่งเมื่อทดสอบจากการการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหลักสูตรบางหลักสูตร พบว่าหมวดหมู่ที่ได้ยังไม่ครอบคลุมวิชาเรียนต่างๆ จึงทำการศึกษาหลักสูตรโลจิสติกส์ต่างๆเพิ่มเติม แล้วนำวิชาในหลักสูตร
ด้านโลจิสติกส์มาร่วมกับกิจกรรมโลจิสติกส์ที่ได้แบ่งหมวดหมู่ไว้ แล้วจัดกลุ่มใหม่ โดยตั้งเป้าหมายว่าต้องมีหมวดหมู่ไม่เกิน 7 หมวดหมู่ เนื่องจากการศึกษาครั้งนี้ จะใช้แนวคิดของกระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์มาช่วยในการหาน้ำหนักความสำคัญ (วรพจน์,2550) (Chin,2002) (Satty,1980) โดยการเปรียบเทียบเป็นคู่ๆ
ของแต่ละหมวดปัจจัยที่แบ่งไว้ มิฉะนั้นในการสัมภาษณ์จะมีจำนวนของการเปรียบเทียบเป็นคู่ๆ ที่มากจนอาจทำให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เบื่อ สับสน ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องในการเปรียบเทียบเกินค่าที่ยอมรับได้ คือ ร้อยละ10 (Satty,1980) เมื่อแบ่งหมวดหมู่แล้วนำไปทดสอบโดยการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในหลักสูตรต่างๆ อีกครั้งแล้วนำไปสัมภาษณ์อาจารย์ที่เข้าใจในหลักสูตรด้านโลจิสติกส์ของแต่ละหลักสูตร ในระดับปริญญาตรีขึ้นไปหลักสูตรละ 1 ท่าน เท่านั้น คณะผู้ศึกษาได้สัมภาษณ์คณบดี หัวหน้าภาควิชา หัวหน้าสาขาวิชา ผู้อำนวยการหลักสูตร หัวหน้าหลักสูตร หรือผู้ที่ทราบเนื้อหาหลักสูตรทั้งหมดโดยการนัดสัมภาษณ์ด้วยตนเอง โดยสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ส่งโทรสารเพื่อตอบแบบสอบถาม และส่งทางไปรษณีย์ตอบกลับ นำผลการเปรียบเทียบเป็นคู่ๆ ตามแนวทางของกระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์แล้วใช้โปรแกรม Super decisions 1.6.0 มาวิเคราะห์หาน้ำหนักความสำคัญของหมวดหมู่ในแต่ละหลักสูตร
4.ผลการศึกษา
                จากการแบ่งหมวดหมู่โดยใช้กิจกรรมโลจิสติกส์ที่ถูกแบ่งไว้และเนื้อหาวิชาต่างๆ ในหลักสูตรโลจิสติกส์ แบ่งสามารถแบ่งออกเป็น 7 หมวดหมู่ ดังนี้ คือ
                1. การจัดการด้านการขนส่ง (Transport Management) คือ ประกอบด้วย การขนส่งสินค้า การกระจายสินค้าทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การขนถ่าย และการบริการลูกค้า
ต่าง ๆ เช่น การส่งมอบสินค้า หรือการบริการหลังการขายรวมถึงการ Reverse Logistics
                2. การจัดการโซ่อุปทาน (Supply chains Management) ประกอบด้วย การพยากรณ์ การติดต่อสื่อสารกับลูกค้าหรือผู้ส่งมอบ ในการจัดหาวัตถุดิบให้เพียงพอเหมาะสมกับความต้องการในโซ่อุปทาน
                3. การจัดการโลจิสติกส์ภายในโรงงาน (Industrial Management) ประกอบด้วย การจัดการสินค้าคง
คลัง การจัดการกระบวนการผลิต หรือ เทคนิคการผลิตต่าง ๆ เพื่อเพิ่มผลผลิตหรือลดต้นทุนตลอดจนการ Outsourcing งานด้านโลจิสติกส์
                4. การนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ในงานด้านโลจิสติกส์ (Technology Management and Information
system) คือ การใช้เทคโนโลยีด้านการจัดการ เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น การจัดเก็บข้อมูล และการติดต่อสื่อสาร ภายในองค์กรหรือการติดต่อกับลูกค้า และผู้ส่งมอบ
                5. การจัดการกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์ขององค์กร (Logistics Strategy Management) คือ การวางกล
ยุทธ์ในงานด้านโลจิสติกส์ ในระดับงานต่าง ๆ ภายในองค์กรเพื่อให้มีการทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
                6. การตัดสินใจในงานด้านโลจิสติกส์ (Decision making for Logistics) คือ การตัดสินใจในระดับต่างๆเช่น การเลือกทำเลที่ตั้งโรงงาน การตั้งคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า การคัดเลือกผู้ส่งมอบ การ
เลือกเส้นทางการขนส่ง รูปแบบการขนส่งต่าง ๆ เป็นต้น
                7. การจัดการและการพัฒนาองค์กร (Organization Management and Improvement) ประกอบด้วย
การพัฒนาบุคลากรโลจิสติกส์ ด้านการบัญชี ด้านการเงิน ด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านภาษีอากรกฎระเบียบต่างๆ และด้านพฤติกรรมองค์กรที่เกี่ยวข้องกับงานด้านโลจิสติกส์ ตลอดจนจัดการด้านการตลาด และงานด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ คณะผู้ศึกษาทำการค้นหาหลักสูตรโลจิสติกส์จากเวบไซด์ของมหาวิทยาลัยต่างๆและเวบไซด์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการติดต่อสอบถามทางโทรศัพท์ไปยังมหาวิทยาลัยว่าทางมหาวิทยาลัยนั้นๆ เปิดทำการสอนในหลักสูตรโลจิสติกส์หรือไม่ คณะผู้ศึกษาทำการรวบรวมได้ทั้งสิ้น 30 หลักสูตร ซึ่งแบ่งออกเป็นหมวดใหญ่ๆได้ 3 หมวด คือ วิศวกรรมโลจิสติกส์ วิทยาศสาตร์หรือเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์ และการบริหารและการจัดการด้านโลจิสติกส์ ทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ดังตารางที่ 1 และ
ตารางที่ 2
















          จากตารางที่ 3 จากการสัมภาษณ์โดยการเปรียบเทียบความสำคัญเป็นคู่ ในหลักสูตรด้านโลจิสติกส์
ต่างๆ ในระดับปริญญาตรี เกี่ยวกับการจัดการและบริหารธุรกิจ พบว่าทั้ง 3 หลักสูตร ให้น้ำหนักความสำคัญ
ในหมวดต่างๆ ดังนี้คือ พบว่ามี 2 หลักสูตรที่ให้ความสำคัญด้านการจัดการขนส่งมากที่สุด ร้อยละ 24.66 และ 28.56 ตามลำดับ และมีหนึ่งหลักสูตรให้ความสำคัญหมวดด้านการจัดการกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์ขององค์กรใกล้เคียงกับหมวดด้านการตัดสินใจด้านโลจิสติกส์ และมี 1 หลักสูตรที่ให้ความสำคัญด้านการจัดการโลจิสติกส์ต่ำที่สุดคือ ร้อยละ 6.17 และทุกหลักสูตรที่ให้ความสำคัญด้านการจัดการและการพัฒนาองค์กรน้อยมาก ร้อยละ 8.458.91 และ 4.49 ตามลำดับ












          จากตารางที่ 4 พบว่ามี 2 หลักสูตรที่ให้ความสำคัญหมวดด้านการจัดการโซ่อุปทานมากที่สุดที่ร้อยละ
18.57 และ 22.58 และมี 1 หลักสูตรที่ให้ความสำคัญหมวดด้านการจัดการการขนส่งมากที่สุดเป็น 33.23
หมวดที่ให้ความสำคัญน้อยที่สุดของแต่ละหลักสูตรแตกต่างกัน ดังนี้ หลักสูตรที่ 1 หมวดด้านการจัดการโลจิสติกส์ภายในโรงงานที่ร้อยละ 7.23 หลักสูตรที่ 2 หมวดด้านการนำเทคโนโลยีต่างๆมาใช้ในงานด้านโลจิสติกส์ที่ร้อยละ 5.95 และหลักสูตรที่ 3 หมวดด้านการจัดการและการพัฒนาองค์กรที่ร้อยละ 4.01














          ตารางที่ 5 จากการสัมภาษณ์พบว่าทั้งมี 1 หลักสูตรให้ความสำคัญในหมวดด้านการนำเทคโนโลยี
ต่างๆมาใช้ในงานด้านโลจิสติกส์มากที่สุดที่ร้อยละ 35.16 อีกหลักสูตรให้ความสำคัญหมวดด้านการจัดการโซ่อุปทานและหมวดด้านการจัดการการขนส่งมากที่สุดใกล้เคียงกันทที่ร้อยละ 25.19 และ 22.26 ส่วนหมวดที่ทั้ง
2 หลักสูตรให้ความสำคัญน้อยที่สุด คือ ด้านการจัดการและการพัฒนาองค์กรที่ร้อยละ 2.38 และ 4.65
ตามลำดับ











          จากตารางที่ 6 จาการสัมภาษณ์พบว่าทุกหลักสูตรให้ความสำคัญหมวดด้านการจัดการขนส่งมากที่สุด
ในน้ำหนักความสำคัญที่สูงมากด้วยที่ร้อยละ 46.99 25.29 46.99 และ 32.12 ตามลำดับ มี 2 หลักสูตรที่ให้
ความสำคัญด้านการจัดการกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์ขององค์กรน้อยที่สุด และมี 1 หลักสูตรที่ให้ความสำคัญ
หมวดการจัดการและการพัฒนาองค์กรน้อยที่สุดที่ร้อยละ 3.61 และมีหลักสูตรที่ 2 ให้ความสำคัญในหมวด
ต่างๆ ที่เหลือใกล้เคียงกันทั้งหมด











            จากตารางที่ 7 จากการสัมภาษณ์หลักสูตรด้านโลจิสติกส์ต่างๆ ในระดับปริญญาโทวิทยาศาสตร์ 1
หลักสูตรให้น้ำหนักความสำคัญดังนี้ คือ หมวดหมู่ที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ให้น้ำหนักความสำคัญมากที่สุดมีคะแนน
ใกล้เคียงกันมีอยู่ 2 หมวด คือ หมวดที่ 2 ด้านการจัดการโซ่อุปทานที่ร้อยละ 25.09 และหมวดที่ 4 ด้านการนำ
เทคโนโลยีต่างๆมาใช้ในงานด้านโลจิสติกส์ที่ร้อยละ 23.72 หมวดที่ให้น้ำหนักความสำคัญมากรองลงมามี
คะแนนใกล้เคียงกันมีอยู่ 2 หมวดคือ หมวดที่ 1 ด้านการจัดการการขนส่งเป็น 14.85 และหมวดที่ 3 ด้านการ
จัดการโลจิสติกส์ภายในโรงงาน เป็น 12.50 หมวดที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ให้น้ำหนักความสำคัญน้อยมีอยู่ 3 หมวด
คือ หมวดที่ 5 ด้านการจัดการกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์ขององค์กรคิดเป็น 9.55 หมวดที่ 6 ด้านการตัดสินใจใน
งานด้านโลจิสติกส์คิดเป็น 9.54 และหมวดที่ 7 หมวดด้านการจัดการและการพัฒนาองค์กรคิดเป็น 4.75
5.วิเคราะห์ผลการศึกษาจากข้อมูลที่ได้มาพบว่าแต่ละหลักสูตรให้ความสำคัญในหมวดที่แตกต่างกันออกไป หมวดหมู่ที่หลักสูตรในประเทศไทยที่ได้ให้การสัมภาษณ์มาให้ความสำคัญมากที่สุด คือ หมวดด้านการจัดการด้านการขนส่งมี 7 หลักสูตร ใน 13 หลักสูตรที่สัมภาษณ์มา คิดเป็น ร้อยละ 53.85 ของหลักสูตรทั้งหมด โดยมีน้ำหนักความสำคัญอยู่ในช่วงร้อยละ 25.29-46.99 หมวดด้านการจัดการโซ่อุปทานมี 4 หลักสูตร คิดเป็นร้อยละ30.77 ของหลักสูตรทั้งหมด โดยให้น้ำหนักความสำคัญอยู่ในช่วงร้อยละ 18.57-25.19 % และมีหมวดด้านการจัดการกลยุทธด้านโลจิสติกส์ขององค์กรและด้านการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ในงานด้านโลจิสติกส์ มีอย่างละ1 หลักสูตร หมวดหมู่ที่หลักสูตรในประเทศไทยที่ได้ให้การสัมภาษณ์มาให้ความสำคัญน้อยที่สุด คือ ด้านการจัดการและการพัฒนาองค์กร มี 8 หลักสูตร คิดเป็นร้อยละ 61.54 ของหลักสูตรทั้งหมด โดยให้น้ำหนักความสำคัญอยู่ในช่วง ร้อยละ 2.38-10.39 หมวดหมู่ด้านการจัดการกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์ขององค์กรมี 2หลักสูตร และหมวดด้านการจัดการโลจิสติกส์ภายในโรงงานมี 2 หลักสูตร คิดเป็นร้อยละ 15.38 ของหลักสูตรทั้งหมด โดยให้น้ำหนักความสำคัญอยู่ในช่วงร้อยละ 6.17-7.23 และหมวดหมู่ด้านการนำเทคโนโลยีต่างๆมาใช้ในงานด้านโลจิสติกส์มาใช้ 1 หลักสูตร ที่ร้อยละ 5.95
6.สรุปผลการศึกษาจากข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ แสดงให้เห็นว่าหลักสูตรโลจิสติกส์ในประเทศไทยในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในหมวดหมู่ด้านการจัดการด้านการขนส่ง ซึ่งประกอบด้วย การขนส่งสินค้า การกระจายสินค้าทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การขนถ่าย และการบริการลูกค้าต่าง ๆ เช่น การส่งมอบสินค้า หรือการบริการหลังการขายรวมถึงการ Reverse Logistics ส่วนหมวดหมู่ที่หลักสูตรในประเทศไทยให้ความสำคัญน้อยที่สุด คือ หมวดหมู่ด้านประกอบด้วยการพัฒนาบุคลากรโลจิสติกส์ด้านการบัญชีด้านการเงิน ด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านการจัดการและการพัฒนาองค์กร ซึ่งประกอบด้วย เรื่องเกี่ยวกับภาษีอากร และด้านพฤติกรรมองค์กรที่ เกี่ยวข้องกับงานด้านโลจิสติกส์ตลอดจน ด้านการตลาด และงานด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากการสัมภาษณ์หลักสูตรด้านโลจิสติกส์ต่างๆ สรุปได้ว่า ในปัจจุบันหลักสูตรด้านโลจิสติกส์ในประเทศไทยในระดับปริญญาตรีขึ้นไป ไม่ว่าเป็น ด้านบริหารธุรกิจและการจัดการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือวิศวกรรมศาสตร์นั้น มุ่งเน้นในหมวดหมู่ที่แตกต่างกันออกไป การให้ความสำคัญหมวดหมู่ต่างๆ ด้านโลจิสติกส์นั้น มีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับตัวหลักสูตร บุคลากรในหลักสูตร อาจเนื่องจากตัวหลักสูตรเอง หรืออาจารย์ที่สอนประจำหลักสูตร งานวิจัยที่อาจารย์ในหลักสูตรสอนส่งผลทำให้เกิดความหลากหลายอย่างครบถ้วนในแต่ละหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านโลจิสติกส์ตามหมวดหมู่ที่แบ่งไว้ ฉะนั้นหากนักศึกษาที่ต้องการศึกษาหลักสูตรด้านโลจิสติกส์ ควรพิจารณาว่าหลักสูตรใดเหมาะสมกับความต้องการของตัวนักศึกษาเอง ส่วนเจ้าของหลักสูตรควรสื่อสารให้ชัดเจนว่าหลักสูตรของตนเองนั้นเน้นทางหมวดหมู่ใด เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่สนใจเข้ารับการศึกษาทราบ และเพื่อสนองความต้องการของผู้เรียนได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
7.ข้อเสนอแนะ
                การศึกษาครั้งนี้ได้เก็บข้อมูลเพียง 43.33 % ของหลักสูตรที่เปิดสอนทั้งหมดที่สามารถหาข้อมูลได้
หากได้ข้อมูลมากกว่านี้จะทำให้ทราบว่าหลักสูตรโลจิสติกส์ในประเทศไทย เน้นหมวดหมู่ใดได้ใกล้เคียงเป็นความจริงมากที่สุด ในการศึกษาครั้งนี้ พบปัญหา คือ ผู้ที่ถูกสัมภาษณ์สับสนกับการให้คะแนน เนื่องจากมีการเปรียบเทียบจำนวนมาก นอกจากนี้อาจารย์ประจำหลักสูตรบางท่านไม่เข้าใจในการกรอกแบบสอบถามทำให้ในการกรอกคะแนนไม่ตรงตามความเป็นจริง ทำให้มีปัญหาในการนำข้อมูลมาวิเคราะห์
การแบ่งหมวดหมู่ของงานด้านโลจิสติกส์มีส่วนประกอบหลากหลายแล้วแต่จะใช้มุมมองอย่างไร และ
ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละองค์กรจะผสมผสานหมวดหมู่หรือส่วนประกอบนั้นๆ อย่างไร นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านโลจิสติกส์ที่ไม่มีชื่อหลักสูตรว่าโลจิสติกส์อีกมากมาย เช่น วิศวกรรมอุตสาหการ การจัดการอุตสาหกรรม นิติศาสาตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ บริหารธุรกิจสาขาการตลาด ชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
8.กิติกรรมประกาศ
                ขอขอบคุณอาจารย์ประจำหลักสูตรทุกหลักสูตรที่สละเวลาให้ข้อมูลคณะที่ทำการศึกษา และ
เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆ ที่ติดต่อประสานงานให้จนได้รับการสัมภาษณ์
บรรณานุกรม
[1] ชญานิน อารมณ์รัตน์. 2547. การวิเคราะห์ระบบคะแนนของเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ สำหรับ
       อุตสาหกรรมการผลิต,วิทยานิพนธ์ (วศ..), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
[2] ฐาปนา บุญหล้า. 2549. โลจิสติกส์ประเทศไทย, กรุงเทพฯ.
[3] วรพจน์ มีถม.2538. การตัดสินใจเลือกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ กรณีศึกษาโรงงานผลิตของเล่นไม้เพื่อ
       การศึกษา,วิทยานิพนธ์ (วศ..), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
[4] วรพจน์ มีถม. อรรถกร เก่งพล. “การศึกษาความสำคัญของปัจจัยที่ใช้ในการประเมินรางวัลคุณภาพ
       แห่งชาติ”,การประชุมวิชาการข่ายงานวิศวกรรมอุตสาหการ ,24-26 ตุลาคม 2550.
[5] วิทยา สุหฤทดำรง.2547 ผู้นำในการบริหารจัดการโลจิสติกส์.กรุงเทพ ฯ.ไอทีแอล เทรด มีเดีย.
[6] วิทยา สุหฤทดำรง.2546.ลอจิสติกส์และการจัดการโซ่อุปทาน อธิบายได้ง่ายนิดเดียว.กรุงเทพฯ.
       ซีเอ็ดยูเคชั่น.
[7] วิฑูรย์ ตันศิริคงคล.2542.AHP กระบวนการตัดสินใจ(ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก).กรุงเทพฯ.
[8] สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.).2550.
       แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบลอจิสติกส์ของประเทศไทย พ..2550-2554.
[9] อรุณ บริรักษ์ .Logistics Case Study In Thailand.กรุงเทพฯ.2545